วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

...เหนื่อยวุ้ยยยยยยย....



งานเยอะโคตรๆ แต่อีกไม่นานมันก้อจะผ่านไป สู้ๆ
เห็นไหมหน้าซีดเลย 555555
ไม่มีอะไรจะเขียนล่ะ แค่นี้นะ ไว้จะมาเขียนใหม่

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

10 วิธีทะเลาะอย่างสร้างสรรค์

การเข้าใจผิด หรือความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน นับเป็นเรื่องปกติสามัญในชีวิตคู่ การเรียนรู้ที่จะจัดการกับความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ คือสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตรักที่ยั่งยืน ด้วย 10 ข้อควรจำง่ายๆ เหล่านี้จะช่วยให้การทะเลาะของคุณไม่กลายเป็นกิจกรรมบ่อนทำลายความสัมพันธ์ไปเสียก่อน

1. ทะเลาะทีละเรื่อง อย่าขุดเอาความไม่พอใจเก่าๆ ขึ้นมายำใหญ่ใส่กันในทีเดียว เพราะแทนที่จะได้ข้อสรุปของหัวข้อที่ถกเถียงกันตั้งแต่แรก จะกลายเป็นการระเบิดสงครามอารมณ์ใส่กันเปล่าๆ

2. อย่าจับผิดรายละเอียดเล็กน้อย อย่าเถียงกันว่าเขาลืมไปรับของสำคัญของคุณวันจันทร์หรือวันอังคาร ประเด็นคือ เขาลืมของสำคัญของคุณ ไม่ใช่ วันไหนที่เขาลืม

3. เริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า ฉัน พูดว่า ฉันไม่พอใจเวลาคุณทำแบบนั้น แทนที่จะพูดว่า "คุณทำให้ฉันไม่พอใจเวลาทำแบบนั้น" การขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า คุณ จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกกล่าวโทษ ขณะการขึ้นต้นด้วยคำว่า ฉัน คือการบอกกล่าวความรู้สึกของคุณ

4. อย่าพูดว่า "ไม่เคย" "เสมอ" "ควร" และ "ไม่ควร" เพราะเป็นคำที่ฟังดูแข็งกระด้าง และมีแนวโน้มจะทำให้ผู้ฟังไม่พอใจได้ง่าย และเอาเข้าจริงมันก็ไม่ถูกเสมอไป เช่น หากคุณพูดว่า "คุณไม่เคยจำเรื่องสำคัญของฉันได้เลย" รับรองได้ว่าเกือบร้อยทั้งร้อย อีกฝ่ายต้องตอกกลับมาว่า แล้วตอน....นั้นล่ะ

5. ใช้เหตุผลและความคิดเห็นที่เป็นของคุณ อย่าพยายามชักแม่น้ำทั้ง5 ด้วยการเอาความคิดเห็นของคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พึงระลึกไว้เสมอว่า นี่เป็นเรื่องของคุณสองคนเท่านั้น

6. พยายามอยู่ในอิริยาบถผ่อนคลาย และอย่าลืมหยุดพักหายใจ การนั่งลงและอยู่ในอริยาบถสบายๆ จะช่วยให้คุณสงบจิตสงบใจได้ดีกว่าการเดินพล่านไปทั่วห้อง

7. อย่าสบถ พูดคำหยาบคาย หรือด่าทอ การต่อว่าว่าเขาแสนจะขี้เกียจ อ้วนพุงพลุ้ย หรือคิดมากไม่เข้าเรื่อง ไม่เคยช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลย

8. พยายามสังเกตความรู้สึกของตัวเอง และบอกให้เขารับรู้ การบอกว่า "ฉันกลัวว่าคุณจะไม่รักฉัน" จะช่วยให้เขาเข้าใจคุณมากกว่าการพูดว่า " คุณทำตัวเหมือนไม่รักฉันเลย"

9. อย่าขัดคอ อย่าเถียงขึ้นมา ขณะอีกฝ่ายกำลังอธิบาย หรือเอาแต่พูดพล่ามยืดยาวอยู่ฝ่ายเดียว หรือไม่พูดอะไรเลยและหวังว่าจะให้เขาอ่านใจคุณออก

10. ขอเวลานอก หากคุณหรือใครคนใดคนหนึ่ง เริ่มรู้สึกรุนแรงจนอาจควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ควรหยุดการถกเถียงและแยกย้ายไปสงบจิตสงบใจสักพัก จนอารมณ์เย็นลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วจึงค่อยมาปรับความเข้าใจกันใหม่

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

ฝ่าด่าน 10 คำถามโหดสัมภาษณ์งาน

ฝ่าด่าน 10 คำถามโหดสัมภาษณ์งาน

เคยไหมที่รู้สึกตื่นเต้น ประหม่า และกลัวแบบไม่มีสาเหตุเมื่อถึงเวลาสัมภาษณ์งาน แถมบ่อยครั้งที่เจอคำถามง่ายๆ แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร หลักในการตอบคำถามสัมภาษณ์ ควรตอบให้ตรงประเด็น กระชับ ได้ใจความ มีความคิดสร้างสรรค์รวมถึงยกตัวอย่างเพื่อให้คำตอบชัดเจนยิ่งขึ้น ที่สำคัญข้อมูลต้องถูกต้องและเป็นความจริง ซึ่งโดยทั่วไปการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาตั้งแต่ 20 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และตำแหน่งงานของผู้สมัคร นอกจากการเตรียมตัวตอบคำถาม ควรให้ความสำคัญเรื่องการแต่งกายและความตรงต่อเวลาด้วย
นี่คือสิบคำถามโหดที่ต้องผ่านไปให้ได้ ลองอ่านคำแนะนำในการผ่านด่านอรหันต์เป็นแนวทาง แล้วนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับรูปแบบการสัมภาษณ์ของตัวเอง อย่าลืมว่า 10 คำถามนี้ไม่มีคำตอบใดที่ถูกหรือผิด เพราะล้วนแต่เป็นคำถามที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ ทัศนคติต่างๆ เกี่ยวกับงาน ที่จะบ่งบอกความฉลาดในตัวคุณ ที่สำคัญ หากมีการเตรียมพร้อมและซ้อมมากเท่าไหร่ ความมั่นใจก็มากขึ้นเท่านั้น เหมือนอย่างที่สามก๊กกล่าวไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

3 ด่านหิน ที่เตรียมฝึกวิทยายุทธ์ไปได้เลย

1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟัง
Do ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีสั้นๆ แบบกระชับได้ใจความ บอกเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ รวมถึงยกตัวอย่างให้ฟังเพื่อช่วยอธิบายและเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเรา เช่น "หลังจากเรียนจบด้านบัญชีและทำงานที่บริษัทตรวจสอบบัญชีมา 5 ปี ทำให้เป็นคนทำงานเร็วและละเอียดรอบคอบ เพราะการตรวจสอบบัญชีแต่ละครั้งมีระยะเวลากำหนดชัดเจนว่ากี่วันหรือกี่สัปดาห์ ทั้งยังฝึกความเป็นผู้นำ เพราะต้องดูแลน้องในทีมที่ออกตรวจงานด้วยกัน รวมถึงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันได้รับมอบหมายดูแลงานโปรเจคใหญ่ๆ อยู่เสมอ"
Don't การเล่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ตั้งแต่จบประถม มัธยม เข้ามหาลัย จนทำงาน แต่ไม่มีจุดเด่นอะไรเพียงพอที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกสนใจในตัวคุณ..........................................................................................................................................................................

2. ทำไมคุณถึงคิดว่าเหมาะกับงานนี้
Do โอกาสมาถึงแล้ว อย่ากลัวที่จะพูด อาจจะเริ่มจากประสบการณ์และความสามารถที่เคยผ่านมา อันเป็นสาเหตุทำให้คุณเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ แล้วต่อด้วยเหตุผล ตัวอย่าง กรณีศึกษา สิ่งที่เป็นจุดเด่นและแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น กรณีที่เพิ่งจบการศึกษาหมาดๆ ถ้าสมัยเรียนทำกิจกรรมมาเยอะ เช่น ออกค่าย ฝึกงาน โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ฯลฯ อย่าลังเลที่จะบอกเล่าว่ากิจกรรมเหล่านั้น ทำให้ตัวเองเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่าย รู้จักปรับตัว ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น และเรียนรู้เร็ว เป็นต้น หากตกที่นั่งเด็กเรียน ไม่ค่อยสนใจกิจกรรม ให้ตอบว่าเป็นคนที่ทุ่มเทกับเรื่องที่ได้รับผิดชอบ เช่น เรื่องเรียนหรือรายงานกลุ่ม อาจยกเกรดเฉลี่ยเลขสวยๆ มาเป็นตัวอย่าง หรือวิธีการเลือกวิชาเรียน ที่แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมตัว วางแผนการเรียนมาเป็นอย่างดี
Don't การตอบคำถามสั้นๆ เช่น "ด้วยประสบการณ์ทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าสามารถทำงานนี้ได้" แล้วจบทันที ในกรณีนี้ คุณอาจจบเห่ เพราะไม่มีเหตุผลและตัวอย่างที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เชื่อและมั่นใจในตัวคุณ ..........................................................................................................................................................................

3. ตามความเข้าใจของคุณ คิดว่าตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบงานอะไรบ้าง
Do ทำการบ้านก่อนมาสัมภาษณ์ด้วยการอ่านรายละเอียดของงานและคุณสมบัติของผู้สมัครที่ทางบริษัทต้องการ ทำความเข้าใจกับมัน ตอบให้สั้นและกระชับใจความ สิ่งสำคัญก่อนตอบต้องมั่นใจว่าเข้าใจ ถ้าไม่แน่ใจส่วนไหนไม่ต้องกลัวที่จะถาม อาจตั้งคำถามกลับในทำนองว่า เข้าใจตำแหน่งงาน แต่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลกลุ่มลูกค้า และผลิตภัณฑ์มากนัก อยากให้ช่วยอธิบายให้เข้าใจในเบื้องต้น
Don't ถ้าไม่รู้ อย่าพยายามตอบ เพราะถ้าตอบผิด นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ทำการบ้านมา ไม่ได้ให้ความสนใจกับงานนี้ แถมยังมั่วอีกต่างหาก ..........................................................................................................................................................................
ผ่าน 3 ด่านอรหันต์มาได้ที่เหลือไม่น่ายากเกินความสามารถ

4. คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง
Do ก่อนมาสัมภาษณ์งาน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทราบและเข้าใจข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับองค์กรที่สมัคร เช่น ผลิตภัณฑ์ กลุ่มลูกค้า คู่แข่ง ภาพลักษณ์องค์กร ที่มาและประวัติขององค์กร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คุณได้ทำการบ้านมา และให้ความสนใจกับองค์กรอย่างแท้จริง อย่าลืมย้ำตอนท้ายด้วยว่า หลังจากที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์กร ทำให้เรามีความสนใจที่อยากจะทราบเกี่ยวกับองค์กรเพิ่มเติม
Don't การตอบแบบมั่นใจในตัวเองจนเกินไป หรือคำตอบที่สร้างภาพพจน์ไม่ดีให้กับตัวเอง เช่น "ทราบมาว่าที่นี่กำลังขาดผู้จัดการฝ่ายการตลาด ด้วยประสบการณ์งาน 3 ปีในด้านนี้ ทำให้คิดว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้" คำตอบอย่างนี้นอกจากไม่สร้างทัศนคติที่ดีขององค์กรให้กับตัวเองแล้ว ยังเป็นการโอ้อวดตัวเองเกินไป..........................................................................................................................................................................

5. อะไรคือจุดมุ่งหมายระยะยาวในการทำงานของคุณ
Do พูดถึงสิ่งที่อยากทำในอนาคต และต้องบอกวิธีที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ซึ่งควรจะเกี่ยวข้องกับงานที่สัมภาษณ์อยู่ เช่น อีก 5 ปีข้างหน้าอยากเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่เต็มไปด้วยศักยภาพและความสามารถในการพัฒนาพนักงานและองค์กรให้มีประสิทธิภาพ การที่จะถึงจุดนั้นได้ต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี เช่น การได้มีโอกาสทำงานที่บริษัทนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งในการเตรียมตัวสำหรับอนาคต และอาจเพิ่มเติมตัวอย่าง เช่น วิธีการทำงานของตน เป็นต้น
Don't การตอบในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัครอยู่ (ถึงแม้จะเป็นความจริง) เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เช่น อยากเปิดร้านอาหารในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าตอบเช่นนั้น อาจโดนถามต่อว่าแล้วมาสมัครงานที่นี่ทำไม ..........................................................................................................................................................................

6. ถ้าได้งานนี้ คุณคิดว่าจะทำงานที่นี่นานเท่าไหร่
Do ให้มุ่งประเด็นไปที่ความทุ่มเทของตัวเองและความท้าทายของงาน ด้วยการบอกว่าตราบใดที่งานมีความยากและท้าทาย ก็จะขอจะทุ่มเทความสามารถของตัวเองให้เต็มที่เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับองค์กร
Don't บอกแผนการหรือระยะเวลา (ซึ่งเป็นความจริง) เช่น มีแผนไปเรียนต่ออีก 2-3 ปีข้างหน้า หรือ ทางบ้านมีแผนให้ไปช่วยธุรกิจที่บ้าน..........................................................................................................................................................................

7. อะไรคือจุดอ่อนของคุณ
Do ควรเลือกจุดอ่อนที่เป็นความจริงและกำลังปรับปรุงหรือพัฒนาในขณะนี้ ที่สำคัญควรบอกผลลัพธ์หลังการปรับปรุงด้วย เช่น ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ซึ่งตอนนี้กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ เรียนมานานเท่าไหร่ ที่ไหน และผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
Don't มีหลายคนเคยบอกว่าให้เปลี่ยนจุดแข็งให้เป็นจุดอ่อน เช่น เป็นคนทำงานหนักมากๆ ไม่เสร็จไม่กลับ อาจจะฟังดูดี แต่คุณกำลังทำลายตัวเอง เพราะปัจจุบันนี้การรู้จักจัดสรรเวลา (work life balance) เป็นประเด็นสำคัญของคุณภาพชีวิต อีกอย่างคุณกำลังโกหกเพื่อให้ดูดี แถมตอบผิดประเด็นอีกต่างหาก..........................................................................................................................................................................

8. ทำไมคุณถึงลาออกจากงานเก่า
Do ตอบความจริงให้มากที่สุด แต่สั้นกระชับใจความ ไม่จำเป็นต้องตอบทั้งหมดถ้าความจริงมันเลวร้ายเหลือเกิน อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์อาจขออนุญาตติดต่อบุคคลอ้างอิงเพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้น
Don't ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ที่ทำงานและนายเก่า เพราะเหล่านี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณดูแย่ และนั่นหมายถึงความกล้าที่จะวิจารณ์บริษัทต่อๆ ไปที่คุณร่วมงานด้วย ..........................................................................................................................................................................

9. อะไรคือสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบในงานเก่า (หรืองานที่กำลังทำอยู่)
Do ควรบอกสิ่งที่ชอบมากกว่าสิ่งที่ไม่ชอบ และให้คำอธิบายรวมถึงเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิดเช่นนั้น
Don't บอกในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรืออ้างอิงถึงบุคคล เพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังวิจารณ์คนอื่น ไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างที่แย่ๆ เกี่ยวกับงาน เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา..........................................................................................................................................................................
10. อะไรคือสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต
Do ควรจะเป็นเรื่องที่รู้สึกภูมิใจที่สุดในช่วง 1-2 ปีของการทำงาน คุณอาจพูดถึงการเลื่อนขั้น ปรับตำแหน่งในการทำงาน หรือตลอดระยะเวลาที่ทำงานมามีแต่ความราบรื่นไม่เคยมีปัญหากับลูกค้า หากคุณมีความสำเร็จชัดเจน เช่น สามารถทำยอดการขายได้ทะลุเป้า 200% หรือ สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 25% ให้เล่าที่มาของเรื่องนั้น วิธี แนวดำเนินการ ผลลัพธ์ ตลอดจนอุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีการแก้ปัญหา ถ้าเป็นผู้สมัครที่เพิ่งจบการศึกษาหมาดๆ อาจจะพูดถึงเกรดเฉลี่ย หรือความภาคภูมิใจที่สามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงได้
Don't การแต่งเรื่องขึ้นเองหรือพูดเกินจริงกว่าสิ่งที่ได้ทำ ส่งผลให้วิธีการเล่าแตกต่างไป ซึ่งผู้สัมภาษณ์ที่มีความเชี่ยวชาญ จะสามารถตั้งคำถามต้อนจนจับได้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ..........................................................................................................................................................................


Guru Tips
* บริษัทบางแห่ง คำถามเหล่านี้จะถูกถามเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นถ้าจะให้ดี ควรฝึกตอบทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ* ก่อนเข้าสู่ด่านอรหันต์ปราบเซียน ควรฝึกซ้อมหน้ากระจกก่อน เพื่อตรวจบุคลิกภาพ ที่สำคัญต้องมี eye contact หรือสบตาผู้สัมภาษณ์ อย่าหลบตาหรือมองเพดานเวลาสัมภาษณ์ แม้กระทั่งการนั่งเท้าคางหรือเท้าโต๊ะ ก็เป็นการทำให้คะแนนบุคลิกภาพลดลงอย่างน่าใจหาย
ทำไงดี เจอเจ้านายต่างชาติ
* บริษัทญี่ปุ่น อยากเห็นว่าที่พนักงานที่มีความนิ่ง อดทน อ่อนน้อมถ่อมตน แต่มีความมั่นใจในตัวเอง พูดจาไม่เยิ่นเย้อ สั้น กระชับ และหากสื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ รับรองได้เปรียบกว่าเห็นๆ* บริษัทฝรั่ง (International Firms) ส่วนใหญ่อยากได้เด็กที่มีความมั่นใจ กล้าพูดกล้าคิด ไฟแรง ทุ่มเท แต่ก็มีชีวิตด้านอื่นด้วยนะ อย่างเช่น มีงานอดิเรกทำ มีเที่ยวเล่นบ้างแต่ก็ทำงาน อีกอย่างที่สำคัญเลย บุคลิกภาพ ต้องดูมั่นใจ ดูคล่อง ฉะฉาน พูดภาษาอังกฤษได้

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

เพื่อนที่ดี คือ ..

---- ความคิดสมัยอนุบาล
เพื่อนที่ดีคือคนที่ให้สีเทียนสีแดงกับคุณ เมื่อมีเหลือแต่สีเทียนสีดำทะมึน
---- ความคิดสมัย ป.1
เพื่อนที่ดีคือคนที่ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนคุณ แล้วก็จับมือคุณระหว่างเดินผ่านห้องโถงที่น่ากลัว
---- ความคิดสมัย ป.2 เพื่อนที่ดีคือคนที่ทำให้คุณเข้าเรียนคลาสที่ไม่อยากเรียน (มั้ง)
---- ความคิดสมัย ป.3
เพื่อนที่ดีคือคนที่แบ่งอาหารกลางวันให้คุณ เมื่อคุณลืมกล่องข้าวไว้ที่บ้าน = =?
---- ความคิดสมัย ป.4
เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมเปลี่ยนคู่เต้นในวิชาลีลาศ เมื่อคุณไม่อยากจับคู่เต้นอยู่กับ นิกจอมลามก หรือ เอ็มกลิ่นแรง
---- ความคิดสมัย ป.5
เพื่อนที่ดีคือคนที่เผื่อที่นั่งให้คุณเมื่อถึงมื้อเที่ยง
---- ความคิดสมัย ป.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่พาคุณไปหาคนที่คุณตกหลุมรัก เพื่อขอให้เค้ามาเต้นรำกับคุณ เผื่อว่าเค้าปฏิเสธคุณจะได้ไม่ต้องอายไง
---- ความคิดสมัย ม.1
เพื่อนที่ดีคือคนที่ให้คุณลอกรายงานสังคม
---- ความคิดสมัย ม.2 เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณทำรายงานกลุ่ม และไม่เคยนินทาคุณลับหลัง
---- ความคิดสมัย ม.3 เพื่อนที่ดีคือคนที่เปนที่ปรึกษาปันหาหัวใจให้คุณ และอินกับคุณในทุกๆอารมณ์
---- ความคิดสมัย ม.4 คือ
คนที่ยอมเปลี่ยนวิชาเรียน เพื่อที่คุณจะได้มีเพื่อนนั่งกินข้าว
---- ความคิดสมัย ม.5
เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมให้คุณขับรถใหม่ของเค้า ช่วยคุยกะพ่อแม่ของคุณเวลาคุณมีปัญหา แล้วก็คอยปลอบคุณตอนที่คุณเลิกกับแฟน
---- ความคิดตอน ม.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเข้า แล้วก็บอกกับคุณว่าคุณเข้าที่นั่นได้แน่ แถมยังช่วยคุยกับพ่อแม่ให้ยอมให้คุณไปเรียนมหาลัยนั้นอีกด้วย
---- ในงานจบการศึกษา เพื่อนที่ดีของคุณ คือคนที่ร้องไห้เงียบๆ ในใจ แล้วก็แบ่งปันรอยยิ้มกว้างๆให้คุณ
---- หน้าร้อนหลังจบ ม.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณล้างขวดหลังงานปาร์ตี้ ช่วยคุณแอบย่องออกจากบ้านตอนที่คุณตกลงกับพ่อแม่ไม่ได้ทำให้คุณกับแฟนกลับมาคบกันอีก ช่วยคุณเก็บของเพื่อย้ายไปมหาลัย แล้วก็กอดคุณอย่างเงียบๆมองคุณด้วยแววตาที่ขุ่นมัว พร้อมกับความทรงจำ 18 ปีที่ผ่านมา ให้กำลังใจคุณในทางที่คุณเลือกเดินเหมือน18 ปีที่ผ่านมา
และตอนนี้ เพื่อนที่ดี
ยังคงเป็นคนที่ให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณจับมือของคุณเมื่อคุณกลัว
ช่วยคุณต่อสู้กับสิ่งที่พยายามเอาเปรียบคุณคิดถึงคุณตลอดเวลาที่คุณไม่อยู่ เตือนคุณในสิ่งที่คุณลืม
ช่วยคุณผ่านอดีตแต่ก็เข้าใจเมื่อคุณอยากอยู่กับอดีตอีกซักนิด อยู่กับคุณเพื่อให้คุณมีความมั่นใจ หรือไปไกลๆ คุณซักพักเพื่อให้คุณได้มีเวลากับตัวเอง
ช่วยคุณแก้ไขความผิดพลาด
ช่วยคุณจัดการกับความกดดันทั้งหลาย ยิ้มให้คุณเมื่อยามคุณเศร้า
ช่วยให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น และอย่างสำคัญที่สุด คือ รักคุณ
ส่งความรู้สึกนี้ ให้เพื่อนเก่า และเพื่อนใหม่และเพื่อนที่อยู่กับคุณตลอด (ยังไม่ร้องไห้ใช่มั้ย? ยังมีต่ออีกนะ)ขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อน ไม่ว่าเราจะไปถึงจุดไหน หรือเรากลายเป็นอะไร
จะไม่มีวันลืมคนที่ช่วยให้เราไปถึงจุดนั้น
ไม่มีการผิดเวลาที่จะโทรศัพท์ หรือส่งข้อความเพื่อบอกเพื่อนของคุณว่า คุณคิดถึงพวกเค้าขนาดไหนหรือว่าคุณรักพวกเค้าขนาดไหน
คุณรู้ว่าคุณเป็นใคร
ถ้าคุณรักใครซักคน ก็บอกเค้าซะจำไว้เสมอเลยนะว่าพูดสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณหมายถึงอย่ากลัวที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเอง
ใช้โอกาสนี้ในการบอกใครซักคนที่มีความหมายกับคุณคว้าเอาไว้แล้วจะไม่เสียใจ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

มุมหนึ่งของความคิด


"Bad day is just a day" ไม่ต้องกลัวหรอกว่าวันร้ายๆ จะอยู่กับเรานาน ตราบใดที่โลกยังหมุนอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาก็จะต้องผ่านไปทั้งนั้น จะเป็นไรไป หากชีวิตจะมีวันร้ายมากหน่อย วันดีน้อยหน่อย ดีเสียอีกที่เป็นอย่างนี้ เราจะได้เรียนรู้คำว่า "ชีวิต" ได้อย่างเต็มที่ ให้คุ้มค่ากับที่ได้เกิดมาเป็นคน
"Call of miss" แค่ครั้งเดียวที่เราได้โทรหาใครบางคน อาจทำให้หัวใจเปี่ยมล้นด้วยกำลังใจไปอีกยาวนาน บางที call of miss ครั้งนี้อาจทำให้เช้าวันต่อไปของเรา เป็นเช้าที่สวยงามที่สุด ในรอบหลายๆปีที่ผ่านมาก็ได้
"ความเหงา...ไม่เคยทำร้ายใคร" ความเหงา...มีสิ่งดีๆ บางอย่างซ่อนอยู่ ถ้าหากเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเหงาให้เป็น เราก็จะได้เห็นสิ่งนั้น ความเหงา... เพียงต้องการให้เราลองฝึกที่จะอยู่กับตัวเอง เพราะถ้าเราอยู่กับตัวเองยังไม่ได้ จะอยู่กับใครก็ไม่มีความสุข
"หลักไกลจากคนที่ทำให้เรารู้สึกไร้ค่า" ดอกไม้ที่งดงาม...ต้องถูกปักลงในแจกันที่เก่ากรุ ความงดงามของดอกไม้นั้น... ก็อาจเลือนหายไป หากเราเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง เราก็จะเป็นดอกไม้ที่งดงามที่สุดได้..แม้ไม่ต้องมีแจกัน
"ให้อภัย... ง่ายที่สุด" ความโกรธ...ก็เหมือนกับไฟร้อนที่สุมอกเรา ถ้าไม่รีบเอาน้ำมาดับเสีย..ใจเราคงมอดไหม้ไปในที่สุด โกรธไป ก็เปลืองใจ แก้แค้นไป ก็เปลืองเวลา ให้อภัยเสียดีกว่า เพื่อตัวเราเอง
"อ้อมกอดของตัวเอง" จะหากำลังใจจากใครนั้น...แสนยากลำบาก เห็นจะมีแต่กำลังใจจากตัวเองนี่แหละ ที่พร้อมใช้งานเสมอ เข้มแข็งเสียทีแล้วจะรู้ว่าโลกนี้ไม่โหดร้ายเลย

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

alone




เคยคิดไหมว่าความเหงาก็คือเพื่อนคนหนึ่ง


ที่อยากจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเราเหมือนกัน


ที่มันเดินทางมาหาเรา


ก็เพราะว่ามันอยากให้เราลองใช้เวลากับมันดูบ้าง


เผื่อว่าจิตใจที่วุ่นวายสับสนของเรา


จะได้มีโอกาสอยู่ลำพังอย่างเงียบสงบ


เพื่อคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆและทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากขึ้น


และหากว่ายังไม่ถึงเวลาของมัน...ที่มันควรจะจากเราไป


มันก็จะไม่มีวันจากเราไปไหน


ต่อให้เราออกไปดิ้นรนเสาะหาคนสักร้อยคนมาอยู่เป็นเพื่อน


ใจเราก็ยังคงเหงาอยู่อย่างนั้น


ไม่ใช่เพราะความเหงามันทำร้ายเราหรอก


แต่เป็นเพราะเราไม่เข้าใจตัวเอง..ว่าเราต้องการอะไร..อะไรที่ใจต้องการ?


เห้อออออออออ


เศร้า.....

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปรัชญาผ้าขี้ริ้ว




ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด

เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบายความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น


ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา

เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด


ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด

เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่นเขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตามเป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิตต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น


ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร

เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่นรู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตามคนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน


ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด

เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำแต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการเหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคมดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตนและยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร


ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด

เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่นต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอินผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่นมีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น


ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง

เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่ายคือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน


ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่

เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกึนปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรค ครั้งนั้นให้ได้ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้นมองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ


ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรกชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบากยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมายทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิตอย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองคุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว

ทราบหรือไม่ว่า มะพร้าวก็สามารถทำให้ผิวสวย หน้าใส ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

- อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด
น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย

- ชะลออาการอัลไซเมอร์
การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

- ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก - สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เมื่อมีน้ำตา ไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ


คนเรา..อย่าพยายามกักเก็บน้ำตา

ถ้ารู้ว่ามันเกินจะกั้นไว้ได้ ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยร้องไห้

แม้กระทั้ง วันแรกที่ลืมตาดูโลก ก็ต่างร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้น...จริงม่ะ?

เมื่อมี... น้ำตา...นั่นไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ

แต่ บางทีอะไรที่มันมากเกินไป เกินกว่าที่จะรับไว้

ก็จำเป็นที่ต้องระบายออกมาบ้างดีใจมาก...เสียใจมาก...ตื้นตันมาก

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เราเสียน้ำตาได้ทั้งนั้น

เพียงแต่อย่าฝืนตัวเอง ต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

อย่าปิดกั้นความอ่อนแอ....ของตัวเองถ้าอยากร้องไห้...ก็ร้อง ซะให้หายอึดอัด

ร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย เรากล้าที่จะร้องไห้ คือ คนที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง

ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็น..เพราะ คนที่เสียใจแล้วไม่ร้องไห้

ไม่ระบายออกมานานๆ ไปอาจจะทำให้มีความเศร้าอยู่ลึกๆ

แล้วเลือกที่จะระบายออกมาเลยไม่ดีกว่าหรือ

อย่าพยายาม อดกลั้น ที่จะร้องไห้ปล่อยให้น้ำตามันไหลออก

จนกว่าจะสบายใจ และ เมื่อน้ำตาเหือดแห้งไป

เราจะได้ความเข้มแข็งกลับมาให้ตัวเรา..

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิธีลดภาวะโลกร้อน


การลดภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกันทำ เราทุกคนก็ต่างมีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น เพราะเพียงแค่เราหายใจอยู่เฉยๆก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาแล้ว ยังไม่รวมถึงกิจกรรมต่างๆมากมายที่เราทำอยู่ทุกๆวัน ถึงเวลาที่เราต้องเลิกคิดว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่ธุระของเรา แล้วหันมาร่วมมือกัน..มาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโลกร้อนกันเถอะถ้าท่านคิดว่าการลดภาวะโลกร้อนนั้นมันทำได้ยาก หรือคิดว่าท่านคนเดียวช่วยโลกไม่ได้ หรือว่าจะทำตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว ท่านกำลังคิดผิด!! ทุกอย่างที่เราทำจะส่งผลดีต่อโลก และมันยังมีเวลาอยู่ ถ้าไม่เริ่มที่ตัวเราก่อนก็ไม่รู้จะให้ไปเริ่มจากตรงไหน แค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างของเราทำอยู่ในวันๆหนึ่ง ก็สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว ผมจะยกตัวอย่างให้ดูซัก 10 ข้อ ผมเชื่อว่ามันใกล้ตัวทุกท่านมาก และสามารถลงมือทำได้เลยด้วยซ้ำ
1. ปรับ Desktop Wallpaper ของท่านให้เป็นสำเข้ม ยิ่งเป็นสีดำเลยยิ่งดี เพราะว่ามันจะประหยัดไฟมากกว่า รวมไปถึง Screen Saver ก็ให้ตั้ง Blank ไว้ มันจะเป็นหน้าจอดำสนิท ปิดคอมพิวเตอร์เมื่อไม่ได้ใช้งาน เช่น ตอนพักเที่ยง และตอนกลับบ้าน
2. พกผ้าเช็ดหน้า แทนที่จะใช้กระดาษทิชชู สมัยนี้มีกระดาษทิชชูห่อสวยๆพกง่ายๆออกมา หลายคนใช้มันแทนผ้าเช็ดหน้า เพราะว่ามันสะดวกและห่อมันก็น่ารักด้วย แต่กระดาษทิชชูผลิตมาจากต้นไม้ ยิ่งใช้มากก็ยิ่งต้องตัดมาก ถ้าไม่จำเป็นก็ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าดีกว่าครับ เก็บต้นไม้ไว้เป็นปอดให้กับโลกเราบ้างเถอะนะ
3. การชาร์ตแบตมือถือ การชาร์ตแบตมือถือของคนทั่วๆไปเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ถึง 95% เพราะว่ามักจะเสียบสายค้างไว้ทั้งๆที่แบตเต็มแล้ว ท่านรู้ไหมว่าถึงแบตจะเต็มแล้วแต่ว่าถ้าไม่ถอดออกมันก็จะยังกินไฟอยู่ ฉะนั้นเวลาแบตเต็มแล้วก็ให้ถอดสายออก แต่ถ้ายังเสียบหม้อแปลงกับเต้าเสียบค้างไว้มันก็ยังกินไฟอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ให้ถอดออกให้หมด
4. ประหยัดน้ำ อย่าใช้น้ำแบบสิ้นเปลือง ถ้ามีโอกาสได้เปลี่ยนก๊อกที่บ้าน ก็ให้ใช้ก๊อกน้ำแบบเพิ่มฟองอากาศ น้ำที่ไหลออกมาจะมีฟองอากาศออกมาด้วยทำให้ดูเหมือนมีน้ำเยอะ แต่จะประหยัดกว่าก๊อกธรรมดาถึงครึ่งหนึ่ง ถ้านึกไม่ออกให้ดูห้องน้ำตามห้าง น้ำที่ไหลออกมาจะเป็นแบบนั้น และเวลาใช้น้ำที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านเราก็ควรจะประหยัดด้วย ไม่ใช่คิดว่าของฟรี หรือเวลาไปพักตามโรงแรมก็อย่าคิดว่าใช้ให้คุ้ม เพราะว่าทำแบบนี้แหละโลกถึงร้อน
5. ประหยัดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้และถอดปลั๊กด้วย รวมไปถึงหลอดไฟด้วย ถ้ามีโอกาสก็เปลี่ยนหลอดไส้เป็นหลอดประหยัดไฟ CFL ซะ ที่มันเป็นเกลียวๆ ถึงหลอดพวกนี้จะแพงกว่า แต่ก็ประหยัดไฟกว่ามาก แถมอายุการใช้งานก็ยาวกว่าเยอะ ซึ่งในระยะยาวก็จะคุ้มกว่าแน่นอน
6. ลดใช้ถุงพลาสติก ถุงพลาสติกทำให้เราสะดวกขึ้นก็จริง แต่มันเป็นภัยต่อโลกอย่างมากมาย กว่าถุงที่เราใช้จะย่อยสลายไป ตัวเรานั้นย่อยสลายก่อนมันไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าต้องใช้จริงๆก็ให้เก็บไว้เพื่อนำไปใช้ครั้งต่อไปได้อีก เวลาจ่ายตลาดก็ให้ใช้ถุงผ้าแทน ถุงผ้าสวยๆก็มีออกมาขายกันเยอะแยะ
7. ลดอาหารแช่แข็ง อาหารแช่แข็งตอนนี้กำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เห็นมีคนนิยมบริโภคมากขึ้นเหมือนกัน แต่ท่านรู้ไหมว่าขั้นตอนการผลิตนั้นทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก เพราะว่ากล่องที่ใส่ก็เป็นพลาสติก ขั้นตอนในการขนส่งก็ต้องเก็บไว้ในที่เย็นตลอดเวลา รวมไปถึงตอนที่อยู่ในร้านด้วย แม้กระทั่งตอนจะกินยังต้องใช้พลังงานในการอุ่นอีก เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากินเลยครับ มันสิ้นเปลืองพลังงาน กินของสดอร่อยกว่าอีก
8. ใช้จักรยาน เวลาที่ท่านไปทำธุระใกล้ๆบ้าน อาจจะไปซื้อของ จ่ายตลาด นอกจากจะประหยัดน้ำมันในยุคที่น้ำมันแพงแล้ว ยังช่วยให้ท่านได้ออกกำลังกาย มีสุขภาพที่ดีอีกด้วย ไม่ต้องไปเสียเงินเข้าฟิตเนสแพงๆ
9. ลดการ Shopping หลายคนนั้นการ Shopping เป็นอะไรที่มีความสุขเหลือเกิน แต่ก็ขอให้ลดการซื้อแบบสิ้นเปลืองลงบ้าง บางทีก็ซื้อๆไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็ได้ใส่แค่ครั้งสองครั้ง บางชิ้นอาจไม่ได้ใส่ด้วยซ้ำ แต่อยากซื้อ..อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องซื้อหรอกครับ เอาแค่อันที่เราจะใส่จริงๆ เพราะว่ามันต้องใช้พลังงานมากมายในอุตสาหกรรมพวกนี้
10. ปลูกต้นไม้ ผมว่ามนุษย์ทุกคนชอบธรรมชาติ เวลาที่เราได้เห็นสถานที่ที่มีธรรมชาติงดงาม ไม่ว่าจะเป็นป่าไม่ที่เขียวชอุ่ม น้ำใสๆ ชายหาดที่ขาวสะอาด เราจะรู้สึกสบายใจและชอบมัน แต่ว่าพวกเราก็ไม่ได้ช่วยกันรักษามัน เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาก็ให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ อาจจะเป็นที่สวนหน้าบ้านได้ หรือมีเนื้อที่ตรงไหนก็ปลูกตรงนั้น ใส่กระถางไว้ก็ได้ นอกจากจะทำให้บ้านดูสวยขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดก๊าซพิษในอากาศได้อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551